วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558


Adverb คือ คำกริยาวิเศษณ์ ทำหน้าที่ขยายคำกริยา, คำคุณศัพท์, และคำกริยาวิเศษณ์ตัวอื่นๆ โดยมีลักษณะต่างๆดังนี้

ชนิดของ Adverb แบ่งตามความหมายได้ดังนี้
1. Adverb of manner (กริยาวิเศษณ์บอกกริยาอาการ)
adverb ที่บอกว่าการกระทำนั้นได้กระทำในลักษณะอาการอย่างไร ( How ) ส่วนมากจะเป็น adverb ที่ลงท้ายคำด้วย -ly ของคำคุณศัพท์
เช่น quickly, happily, bravely, hard, fast, well
2. Adverb of place (กริยาวิเศษณ์บอกสถานที่)
adverb ที่ บอกว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นที่ไหน หรือ การเคลื่อนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนัง ( Where )
เช่น here, there, everywhere, up, down, near, abroad, above
3. Adverb of time (กริยาวิเศษณ์บอกเวลา)
adverb ที่ บอกว่าการกระทำนั้นเกิดเมื่อใด ( when ) เป็นเวลานานแค่ไหน ( for how long ) และบ่อยแค่ไหน ( how often )
เช่น When = today, yesterday, later,now, last year, after, soon, before, sometime, For how long = all day, not long, for a while, since last year, temporarily, briefly, from……to, till, until ( บางตำราแยกเป็น Adverbs of Duration [กริยาวิเศษณ์บอกระยะที่ดำเนินการมา] )
How often = sometimes , frequently, never, often, always, monthly ( บางตำราแยกหัวข้อนี้ออกเป็น Adverbs of Frequency [กริยาวิเศษณ์บอกความสม่ำเสมอ] )
4. Adverb of degreeเป็นกริยาวิเศษณ์ที่ส่วนใหญ่ไปขยาย adjective หรือ adverb ด้วยกันเอง เพื่อบอกระดับหรือปริมาณความมากน้อย คำที่พบบ่อยๆ (How much) ( บางตำราแยกหัวข้อนี้ออกเป็น Adverbs of quantity [กริยาวิเศษณ์บอกปริมาณมากหรือน้อย] )
ได้แก่
เช่น very, fairly, rather, quite, too, hardly
5. Adverb of Affirmation or Negation คือ กริยาวิเศษณ์บอกการรับหรือปฏิเสธ
เช่น yes, no, not, not at all, of course, actually
*6. Conjunctive Adverbs เป็นกริยาวิเศษณ์ที่ทำหน้าที่เป็นคำเชื่อมอนุประโยค (independent clause) ในประโยค โดยมีข้อความของอนุประโยคหน้าและอนุประโยคหลังเชื่อมโยงกัน เช่นคำต่อไปนี้
เช่น next, finally, also, anyway, besides, still
*7. Interrogative Adverbs (บางตำราก็เขียนไว้ว่า Adverb of Interrogative) กริยาวิเศษณ์นำในประโยคคำถาม ได้แก่คำดังต่อไปนี้
เช่น why, where, how, when, which, who
*8. Relative Adverbs เป็นคำกริยาวิเศษณ์นำหน้า relative clause ได้แก่คำ when, where, why แทนคำ preposition + which
* หมายเหตุ บางตำราอาจจะไม่มี หรือรวมไว้ในหมวดเดียวกัน
หลักการสร้าง Adverb / แหล่งกำเนิด Adverb (หลักการเปลี่ยน adjective -> adverb)
1. Adverb ส่วนมากเกิดจากคำการเติม –ly ท้าย adjective
careful -> carefully
quick -> quickly
โดยหลักการเติม –ly มีดังนี้
a) คำที่ลงท้ายด้วย –e ให้เติม –ly ได้เลย เช่น
extreme -> extremely
ยกเว้น คำเหล่านี้ที่เปลี่ยนทั้งรูปได้แก่ true -> truly, due -> duly, whole -> wholly
b) คำที่ลงท้ายด้วย –le (-able, -ible) ให้เติม –ly เช่น
comfortable -> comfortablely
c) คำที่ลงท้ายด้วย –y เปลี่ยน –y เป็น –i และเติม –ly เช่น
happy -> happily
d) คำที่ลงท้ายด้วย (สระ+l) ให้เติม –ly เช่น
beautiful -> beautilfully
e) นอกจากกฎเกณฑ์ที่ลงท้ายตามข้อ 1-2 แล้ว เมื่อต้องการให้เป็นกริยาวิเศษณ์ (Adverb) ให้เติม ly ปัจจัยได้เลย ไม่ต้องลังเลใจให้เสียเวลา
2. Adverb บางคำขึ้นต้นด้วย a-
เช่น a+go = ago, a+broad = abroad, a+new = anew, a+part = apart, a+side = aside
3. Adverb บางชนิดเติม –wise หรือ –ward
เช่น forwards, backwards
4. มีรูปของตนเองมาโดยกำเนิด จะต่อเติมหรือตัดออกแม้เพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง ไม่ได้ ได้แก่คำว่า here,there,hard,always,well,lften,too,ver,early, seldom,etc.
*** 5.Adverb บางคำเป็นรูปเดียวกับ Adjective
มี Adverb อยู่บางตัวซึ่งมีรูปเช่นเดียวกันกับ Adjective
คำต่อไปนี้เป็นได้ทั้ง Adjective และ Adverb
สุดท้ายแต่วิธีใช้ หรือตำแหน่งวางไว้ในประโยคของมันได้แก่
table update coming soon…)
คำทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ถ้านำไปใช้โดยวางไว้หน้านามหรือหลัง Ber to be, taste, feel, smell, etc. ทำหน้าที่ เป็น Adjective แต่ถ้านำไปใช้โดยวางไว้หลังกริยาทั่ว ๆ ไป นอกจาก
Verb to do ฯลฯ ตามที่กล่าวมาแล้ว ทำหน้าที่เป็น Adverb ตัวอย่าง
วิธีการใช้ adverb
1. Adverb of manner
+ ถ้าประโยคไม่มีกรรมให้วางหลังกริยา เช่น They walk slowly.
+ ถ้าประโยคนั้นมีกรรม ให้วางหลังกรรม เช่น I can speak Japanese well.
+ Adverb of Manner ที่ลงท้ายด้วย -ly หรือเป็นคำที่แสดงความเห็นของผู้พูดเกี่ยวกับการกระทำนั้น ส่วนใหญ่นิยมวางไว้ในประโยค เช่น I have carefully considered all of the possibilities.
+ Adverbs of Manner อาจจะวางไว้หน้าประโยคได้เมื่อต้องการเน้น Adverb นั้น เช่น
Patiently, we waited for the show to begin.
+ ประโยคอุทานที่ขึ้นต้นด้วย How ให้วาง Adverbs of Manner ไว้หลัง How เช่น
How quickly the time passes!
+ ในประโยค passive voice ถ้ามี Adverb of Manner มาขยาย ให้วางไว้หน้ากริยาช่อง 3 เสมอ
เช่น The report was well written.
+ แต่ในกรณีที่ต้องการเน้น สามารถนำมาไว้หน้าประโยคได้ เช่น As quickly as we could, we finished the work.
2. Adverb of place
+ ตำแหน่งของ Adverb of Place ปกติจะวางท้ายประโยคหลังกริยาหลัก ( main verb ) หรือหลังกรรม ( object ) และไม่มีคำอื่นต่อท้าย เช่น
The students are walking home.
3. Adverb of time
+ Adverb ที่บอกว่าเกิดเมื่อใด ( When ) ส่วนมากจะนิยมวางท้ายประโยค เช่น
I ‘m going to tidy my room tomorrow.
+ Adverb of time ส่วนมากจะวางไว้ในกลางประโยคไม่ได้ ยกเว้น now, once, และ then เช่น It is now time to leave.
+ Adverb ที่บอกว่าบ่อยแค่ไหน ( how often ) เป็นการแสดงความถี่ของการกระทำ ส่วนมากวางหน้ากริยาหลัก ( main verb ) แต่หลังกริยาช่วย ( auxiliary verbs ) เช่น be, have, may, must
I often eat vegetarian food.
+ Adverb ที่บอกว่าบ่อยแค่ไหนซึ่งระบุจำนวนเวลาของการกระทำที่แน่นอน ส่วนมากจะวางท้ายประโยค เช่น This magazine is published monthly.
+ Adverb ที่สามารถวางท้ายประโยค หรือวางหน้ากริยาหลัก เช่น frequently,generally, normally, occasionally,often, regularly, sometimes, usually เช่น She regularly visits France.
4. Adverb of degree
+ ตำแหน่งของ Adverbs of Degree ส่วนใหญ่วางหน้าคำที่มันขยาย มักจะขยาย adjective หรือ adverb ด้วยกันเอง และวางหน้า main verb หรือระหว่างกริยาช่วย ( auxiliary verb )กับ main verb เช่น The water was extremely cold.
หลักการเรียงลำดับ adverb หลายชนิดที่ขยายกริยา
1.สถานที่ (place) 2.กริยาอาการ (manner) 3.ความถี่ (frequency) 4.เวลา (Time)
* โดยมากใช้กับกริยาที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวจากสถานที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เช่น go, leave, walk, fly, come
(table update coming soon...)
*ถ้าเป็นกริยาที่ไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวจากสถานที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งให้เรียงกริยาอาการมาก่อนสถานที่
- She sang beautifully in the hall last night.
* กรณีมี adverb ชนิดเดียวกันมากกว่า 1 ตัวขยายกริยา ให้เรียงจากจุดเล็กสุดมายังจุดกว้างสุด
- Dan was born at seven o’clock on Sunday in August in 1975.

ขอขอบคุณ  : http://cstproject.exteen.com/20080924/adverb

Verb คือ คำที่บอกถึงการกระทำอย่างชัดเจน หรือ สถานะของการกระทำ เราเรียกว่า “คำกริยา”

ชนิดของคำกริยา

คำกริยาแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ Main verb  คือ คำกริยาหลัก Auxiliary  หรือ Helping Verb คือ กริยาช่วยแท้ และ modal verb คือ กริยาช่วยชนิดพิเศษ

1) Main Verb คือ “กริยาแท้หรือกริยาหลักของประโยค”   ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด
Action verb คือ คำกริยาหลักของประโยคที่ “บอกการกระทำ” ของประทานประโยค หรือ สถานะของการกระทำหลัก ในประโยคนั้น ๆ
ตัวอย่างเช่น
Mark kicks the ball (Main Action Verb)
The dog scratched its back (Main Action Verb)
The wind rustled the leaves.(Main Action Verb)
                       
Linking Verb คือ “กริยาที่เชื่อมเสริม“ประธานของประโยคกับส่วนเสริมประธานประโยค ซึ่งอาจเป็นคำนาม หรือ
คำคุณศัพท์ เพื่อแสดงความสัมพันธ์ว่าเป็นสิ่งเดียวกัน ซึ่งเป็นการขยายความบอกกริยาลักษณะของประธาน
ได้แก่   be( is,am, are, was, were, being, been), appear, become, grow, prove,
remain, seem, turn และคำกริยาที่บ่งบอกประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้แก่  look, sound,
smell, taste, feel
                       am a teacher. (Main Linking Verb)   
                       Sunny feels happy. (Main Linking Verb)   
                       Ron Swanson is the manager of the office.(Main Linking Verb)
ทั้ง Action verb และ Linking Verb สามารถใช้งานได้ 2 ลักษณะ คือ
Transitive Verb  คือ “กริยาที่ต้องการกรรมมารองรับ
เช่น sold,brought,is
                                              I sold some books. (Transitive Action Verb)
                                              I bought a radio. (Transitive Action Verb)
                                              My sister is at home.(Transitive Linking Verb)
Intransitive Verb คือ “กริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ” แต่อาจมีส่วนขยายหรือไม่ก็ได้
เช่น  drink, move,are
                                              Cats drink. (Intransitive Action Verb)
                                              Buses move. (Intransitive Action Verb)
                                              Clocks are helpful. (Intransitive Linking Verb)
2) Auxiliary or Helping Verb (Auxiliaries) คือ “กริยาช่วยที่ใช้ประกอบคำกริยาแท้” ซึ่งช่วยบ่งบอกลักษณะการกระทำของประทานให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
                        ได้แก่ be( is,am, are, was, were, being, been),  do(does,do,did), have, has,had ในรูปต่าง ๆ
                             คำกริยาเหล่านี้อาจเป็นได้ทั้งกริยาแท้ และกริยาช่วย
                                              He is a student. (Main Linking Verb)
                                              She is playing the piano. (is = helping verb, playing = Main Action verb)
                 
3) Modal Verb (Modals)   คือ “กริยาช่วยชนิดพิเศษ” ที่ทำให้กริยาแท้มีความหมายแตกต่างกันไป
ได้แก่ can, could, shall, should, will, would, may, might, must, ought to, need และ dare คำกริยาประเภทนี้จะใช้นำหน้าคำกริยาแท้ซึ่งอยู่ในรูป Verb base form(กริยาพื้นฐาน)
                                              He can speak Chinese.
                                              She should  be here by 9:00.
อย่างไรก็ตาม ตำราไวยากรณ์บางเล่มจัดให้ modal verb อยู่ในกลุ่มของกริยาช่วย
ประเภทหนึ่งเรียกว่า modal auxiliary verb โดยไม่แยกเป็นประเภทต่างหาก

ตำแหน่งของคำกริยา

โดยทั่วไปคำกริยาจะตามหลังประธานของประโยค” หากมีกริยาช่วย
กริยาแท้จะอยู่ตามหลังกริยาช่วย ยกเว้นในประโยคคำถามที่กริยาช่วยจะอยู่ในตำแหน่งหน้าประธาน
                                             I turned the page.(Main Action Verb)
                                             The dog scratched its back.
                                              Does he go to school?

รูปลักษณะของคำกริยา

คำกริยาจะมีรูปแบบ 5 รูปลักษณะดังนี้
รูป
สัญลักษณ์
ตัวอย่าง
1. รูปลักษณะที่ยังไม่ได้ผัน ( base form)Verb base formkick, eat, hit
2. รูปลักษณะที่ลงท้ายด้วย – s (-s form)Verb1kicks, eats, hits
3. รูปลักษณะอดีต ( past form)Verb2kicked, ate, hit
4. รูปลักษณะ present participleVerb ingkicking, eating, hitting
5. รูปลักษณะ past participleVerb3kicked, eaten, hit
                    การเปลี่ยนรูปของคำกริยานั้นมีอยู่ 2 กลุ่มคือ
1.Regular verbs คือ “รูปแบบการเปลี่ยนรูปแบบปกติ”  เช่น Verb1 – kick or kicks , Verb2 และ Verb3 – Kicked (อยู่ในรูป -ed)
2.Irregular verb คือ คือคำกริยาที่มีการเปลี่ยนรูปไปอย่างชัดเจน” เช่น Verb1- eat, Verb2 – ate, Verb3 – eaten

ขอขอบคุณ : http://www.studysquare.co.th/studyenglish/verb-




Adjectives หรือ คำคุณศัพท์ หมายถึง คำที่ไปทำหน้าที่ขยายนามหรือสรรพนาม (ขยายสรรพนามต้องอยู่หลังตลอดไป) เพื่อบอกให้รู้ลักษณะคุณภาพ หรือคุณสมบัติของนามหรือสรรพนามนั้นว่า เป็นอย่างไร? ได้แก่คำว่า     
    
        good ดี   
        bad เลว   
        tall สูง   
        dirty สกปรก   
        wise ฉลาด   
        red แดง   
        fat อ้วน   
        thin ผอม   
        this นี้   
        those เหล่านั้น   
        short สั้น   
        white ขาว   
      
      
ชนิดของ Adjective 
 
Adjective ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 11 ชนิด คือ       

          1. Descriptive Adjective  คุณศัพท์บอกลักษณะ     
          2. Proper Adjective   คุณศัพท์บอกสัญชาติ     
          3. Quantitative Adjective  คุณศัพท์บอกปริมาณ     
          4. Numbearl Adjective  คุณศัพท์บอกจำนวนแน่นอน     
          5. Demonstrative Adjective  คุณศัพท์ชี้เฉพาะ     
          6. Interrogative Adjective  คุณศัพท์บอกคำถาม     
          7. Possessive Adjective  คุณศัพท์บอกเจ้าของ     
          8. Distributive Adjective  คุณศัพท์แบ่งแยก     
          9. Emphaszing Adjective  คุณศัพท์เน้นความ     
          10. Exclamatory Adjective  คุณศัพท์บอกอุทาน     
          11. Relative Adjective  คุณศัพท์สัมพันธ์





1. Descriptive Adjective คือ "คำคุณศัพท์บอกลักษณะ" หมายถึง คำที่ใช้ลักษณะหรือคุณภาพของคนสัตว์ สิ่งของและสถานที่เพื่อให้รู้ว่า นามนั้นมีลักษณะอย่างไร ได้แก่คำว่า good, bad, tall, shot, black, fat, thin, fat, thin, clever, foolish, poor, rich, brave, cowardly, pretty, agly, happy, sorry, etc.

ตัวอย่างเช่น :   The rich man lives in the big house. (คนรวยอาศัยอยู่บ้านหลังใหญ่)     
                  A clever pupil can answer the difficult problem. (นักเรียนที่ฉลาดสามารถตอบปัญหายากได้)   
                  The black cat cuagh a smail bird. (แมวดำตัวนั้นจับนกได้)        
ข้อสังเกต : rich, big, clever, difficult, black และ small เป็นคุณศัพท์บอกลักษณะ

2. Proper Adjective คือ "คุณศัพท์บอกสัญชาติ" หมายถึง คำที่ไปขยายนามเพื่อบอกสัญชาติ ซึ่งอันที่จริงมีรูปเปลี่ยนมาจาก Proper noun นั่นเอง ได้แก่
          Proper Noun              Proper Adjective  คำแปล
          (เป็นนามเฉพาะ)              (เป็นคุณศัพท์บอกสัญชาติ)
          England    English       อังกฤษ, คนอังกฤษ
          America    American    อเมริกา, คนอเมริกัน
          Thailand   Thai           ไทย, คนไทย
          India        Indian        อินเดีย, คนอินเดีย
          Germany   German      เยอรมัน, คนเยอรมัน
          Italy         Italian        อิตาลี, คนอิตาเลี่ยน
          Japan       Japanese    ญี่ปุ่น, คนญี่ปุ่น
          China       Chinese      จีน, คนจีน
      
ตัวอย่างเช่น :   John employs a chinese cook. (จอห์นจ้างพ่อครัวชาวจีนคนหนึ่ง)     
                  Do you learn French literature? (คุณเรียนวรรณคดีฝรั่งเศสหรือ)     
                  The English language is used by every nation. (ภาษาอังกฤษใช้ในทุกประเทศ)     
      
ข้อสังเกต : Chinese, French, English เป็นคำคุณศัพท์บอกสัญชาติ

3. Quantitive Adjective คือ "คำคุณศัพท์บอกปริมาณ" หมายถึง คำที่ไปขยายนาม เพื่อบอกให้ทราบปริมาณของสิ่งเหล่านั้นว่า มีมากหรือน้อย (แต่ไม่บอกจำนวนแน่นอน)ได้แก่ much, many, little, some, any, enough, half, great, all, whole, sufficent, etc.     
      
ตัวอย่างเช่น :   He ate much rice at school yesterday.(เขากินข้าวมากที่โรงเรียนเมื่อวานนี้)     
                 Linda did not give any money to her younger brother.(ลินดาไม่ได้ให้เงินแก่น้องชายของหล่อน)     
                 Take great care of your health.(เอาใจใส่ต่อสุขภาพของคุณให้มากหน่อย)
ข้อสังเกต : much, any, great ในประโยชน์ทั้ง 3 เป็นคำคุณศัพท์บอกปริมาณ

4. Numberal Adjective คือ "คำคุณศัพท์บอกจำนวนแน่นอน" หมายถึง คำที่ไปขยายนาม เมื่อบอกจำนวนแน่นอนของนามว่ามีเท่าไหร่ แบ่งเป็นชื่อย่อยได้ 3 ชนิด คือ
      
4.1 Cardinal Numberal Adjective คือ คุณศัพท์ที่ใช้บอกจำนวนนับที่แน่นอนของนาม ได้แก่  one, two, three, four, five, six, seven, etc. 
    
ตัวอย่างเช่น :   She gave me two apples and three organes.(หล่อนให้แอปเปิ้ลสองผล และส้มสามผลแก่ฉัน)     
                  Bill wants to buy seven pens.(บิลต้องการซื้อปากกาเจ็ดด้าม)     
      
ข้อสังเกต : two, three, seven เป็นคุณศัพท์บอกจำนวนแน่นอนวางไว้หน้านาม

4.2 Ordinanal Numberal Adjective คือ "คำคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อบอกลำดับที่ของนามนั้นๆ ได้แก่  first, second, third, fifth, sixth, seventh, etc.  
   
ตัวอย่างเช่น :   Tom is the first boy to be rewarded in this school.(ทอมเป็นเด็กคนแรกที่ได้รับรางวัลในโรงเรียนนี้)     
                  Sam won the third prize last month and the second one last week.(แซมได้รับรางวัลที่ 3 เมื่อเดือนที่แล้ว และสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับรางวัลที่ 2)     
                  I am the seventh son of my family.(ฉันเป็นลูกคนที่ 7 ของครอบครัว)     
      
ข้อสังเกต : first, third, second, seventh เป็นคุณศัพท์บอกลำดับที่วางไว้หน้านาม

4.3 Mutiplicative Adjective คือ "คุณศัพท์บอกจำนวนทวีของนาม" ได้แก่ double, triple, fourfold   

ตัวอย่างเช่น :   Some roses are double.(ดอกกุหลาบบางดอกก็มีกลีบ 2 ชั้น)     
                  Buddha, Dhamma, and Sangha are triple gems.(พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ คือแก้ว 3 ประการ)     
     
ข้อสังเกต : double, triple เป็นคำคุณศัพท์บอกจำนวนทวีของนาม

5. Demonstrative adjective คือ คุณศัพท์ชี้เฉพาะหรือนิยมคุณศัพท์หมายถึง คําที่ชี้เฉพาะให้กับนามใดนามหนึ่ง ได้แก่ this, that (ใช้กับนามเอกพจน์),these ,those (ใช้กับนามพหูพจน์) such, same     

ตัวอย่างเช่น:    I invited that man to come in.(ฉันได้เชิญผู้ชายคนนั้นให้เข้ามาข้างใน)     
                  Jan hated such things because they made her ill.(แจนเกลียดสิ่งเหล่านั้นเพราะมันทําให้เธอไม่สบาย)     
                  They said the same thing two or three times.(พวกเขาพูดถึงสิ่งเดียวกันนี้2หรือ3ครั้งแล้ว)     
      
ข้อสังเกต: that,such,same เป็นคุณศัพท์ชี้เฉพาะวางไว้หน้านาม

6.interrogative adjective คือ คุณศัพท์บอกคําถามหมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อให้เป็นคําถามโดยจะวางไว้ 
ต้นประโยคและมีนามตามหลังเสมอ ได้แก่ what, which, whose 
    
ตัวอย่างเช่น:   What book is he reading in the room? (เขากําลังอ่านหนังสืออะไรอยู่ในห้อง)     
                 Which way shall we go? (เราจะไปทางไหนกันนี่?)     
                 Whose shoes are these? (รองเท้านี้เป็นของใคร)     

ข้อสังเกต: what,which,whose เป็นคุณศัพท์บอกคําถามอยู่หน้าประโยค

7. Possessive adjective คือ คุณศัพท์บอกเจ้าของหรือสามีคุณศัพท์ หมายถึง คําคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อบอกความเป็นเจ้าของของนาม ได้แก่ my,our,your,his,her,itsและtheir

ตัวอย่างเช่น :   This is my table.(นี่คือโต๊ะของฉัน)     
                  Her pen is on my desk.(ปากกาของหล่อนอยู่บนโต๊ะฉัน)     
                  Our nation needs solidarity.(ชาติของเราต้องการความสามัคคี)     
                  Their parents work hard every day.(พ่อแม่ของพวกเขาทํางานหนักทุกวัน)     

ข้อสังเกต : my, her, our, their เป็นคุณศัพท์บอกเจ้าของวางไว้หน้านาม 

8. Distributive คือ คุณศัพท์แบ่งแยก หมายถึง คําคุณศัพท์ที่ไปขยายนาม เพื่อแยกนามออกจากกันเป็น อันหนึ่ง หรือส่วนหนึ่งได้แก่ each(แต่ละ), every(ทุกๆ), either(ไม่อันใดก็อันหนึ่ง), neither(ไม่ทั้งสอง)

ตัวอย่างเช่น :   The two men had each a gun.(ชายสองคนนี้มีปืนคนละกระบอก)     
                   Every soldier is punctually in his place.(ทหารทุกคนเข้าประจําที่ของตัวตรงเวลาดี)     
                   Either side is a narrow lane.(ไม่ข้างใดก็ข้างหนึ่งเป็นซอยแคบ)     
                   Neither accusation is true.(ข้อกล่าวหาทั้งสองข้อไม่เป็นความจริง)    

ข้อสังเกต: each,every,either,neither เป็นคุณศัพท์แบ่งแยกมาขยายนาม

9. Emphasizing Adjective คือ คุณศัพท์เน้นความ หมายถึงคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อเน้นความให้มีนำหนักขึ้น ได้แก่ own(เอง),very(ที่แปลว่า นั้น,นั้นเอง,นั้นจริงๆ)

ตัวอย่างเช่น:  Linda said that she had seen it with her own eyes.(ลินดาพูดว่าหล่อนได้เห็นมันมากับตาเธอเอง)     
                He is the very man who stole my wrist watch last night.(เขาคือชายผู้ซึ่งได้ขโมยนาฬิกาข้อมือของฉันไปเมื่อคืนนี้)     
                Jean is my own girl-friend.(จีนคือแฟนผมเอง)    

ข้อสังเกต : own,very เป็นคุณศัพท์เน้นความขยายนามที่ตามหลังให้มีนําหนักขึ้น

10. Exclamatory Adjective คือ คุณศัพท์บอกอุทาน หมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้ขยายเพื่อให้เป็นคําอุทาน ได้แก่ what  

ตัวอย่างเช่น:    What a man he is!(เขาเป็นผู้ชายอะไรนะเนี่ย!)     
                  What an idea it is!(มันเป็นความคิดอะไรกันหนอ!)     
                  What a piece of work he does!(เขาทํางานได้เยี่ยมจริงๆ!)        

      
ข้อสังเกต : what ทั้ง 3 คํา ในประโยคเหล่านี้เป็นคุณศัพท์บอกอุทาน

11. Relative Adjective คือ คุณศัพท์สัมพันธ์ หมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามที่ตามหลังและในขณะเดียวกันก็ยังทําหน้าที่คล้ายส้นธาน  เชื่อมความในประโยคของตัวเองกับประโยคข้างหน้าให้สัมพันธ์กันอีกด้วย ได้แก่ what(อะไรก็ได้),whichever(อันไหนก็ได้)      

ตัวอย่างเช่น:     
          Give me what money you have. (จงให้เงินเท่าที่คุณมีอยู่แก่ฉัน)     
          I will take whichever horse you don t want. (ฉันจะนําเอาม้าตัวที่คุณไม่ต้องการ)     
          He will read what book he wishes. [แซมจะอ่านหนังสืออะไรก็ได้ที่เขาปราถนา (จะอ่าน)]

ข้อสังเกต : What, Whichever เป็นคุณศัพท์สัมพันธ์ ไปขยายนามที่ตามหลัง และในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เชื่อมประโยคหน้าและประโยคหลังให้กลมกลืนกันอีกด้วย

Adjective เวลานำไปพูดหรือเขียนมีวิธีใช้อยู่ 4 อย่างคือ     
      
1. เรียงไว้หน้าคำนามที่คุณศัพท์นั้นไปขยายโดยตรงได้ เช่น     
          * The thin man can run very quickly.(คนผอมสามารถวิ่งได้เร็วมาก)     
          * A wise boy is able to answer a difficult problem. (เด็กฉลาดสามารถตอบปัญหาที่ยากได้)     
          * The beautiful girl is wanted by a young boy. (สาวสวยย่อมเป็นที่หมายตาของเด็กหนุ่ม)    
 
ข้อสังเกต : thin , wise , difficult , beautiful ,young เป็นคุณศัพท์เรียงขยายไว้หน้านามโดยตรง

2. เรียงไว้หลัง Verb to be, look feel, seem, get, taste, smell, turn, go, appear, keep, become, sound, grow, etc.ก็ได้ Adjective ที่เรียงตามกริยาเหล่านี้ ถือว่าขยายประธาน แต่วางตามหลังกริยา เพราะฉะนั้นจึงมีชื่อเรียกได้อีกอย่างหนึงว่า Subjective Complement เช่น     
          * I'm feeling a bit hungry. (ฉันรู้สึกหิวนิดๆ)     
          * Sugar tastes sweet. (น้ำตาลมีรสหวาน)   
  
ข้อสังเกต: hungry และ sweet เป็น Adjective เรียงไว้หลังกริยา feeling และ tastes ทั้งนั้น

3. เรียงคำนามที่ไปทำหน้าที่เป็นกรรม (Object) ได้ ทั้งนี้เพื่อช่วยขยายเนื้อความของกรรมนั้นให้สมบรูณ์ขึ้น Adjiective ที่ใช้ในลักษณะเช่นนี้เรียกว่าเป็นObjiective Complement เช่น     
          * Sam made his wife happy. (แซมทำภรรยาของเขาให้มีความสุข)     
          * I consider that man mad. (ฉันพิจารนาดูแล้วว่า ชายคนนั้นเป็นบ้า)     
          *This matter made me foolish. (เรื่องนี้ทำให้ฉันโกรธไปได้)  
   
ข้อสังเกต: happy,mad และ foolish เป็น Adjective ให้เรียงหลังนาม และสรรพนามที่เป็น Object คือ wife,man,me

4. เรียง Adjective ไว้หลังคำนามได้ ไม่ว่านามนั้นจะทำหน้าที่เป็นอะไรก็ตาม ถ้า Adjective ตัวนั้นมีบุพบทวลี (Perpositional Phrase)มาขยายนามตามหลัง เช่น     
          * A parcel posted by mail today will reach him tomorrow.  (พัสดุที่ส่งทางไปรษณีย์วันนี้จะถึงเขาวันพรุ่งนี้)     
ข้อสังเกต: posted เป็น Adjective เรียงตามหลังนาม parcal ได้เพราะมีบุพบทวลี by mail today มาขยายตามหลัง 
          * I have known the manager suitable for his position. (ฉันได้รู้จักผู้จัดการซึ่งก็มีความเหมาะสมสำหรับตำแหน่งของเขา)   
  
ข้อสังเกต: suitable เป็นคุณศัพท์ เรียงไว้หลังนาม manager ได้เพราะมีบุพบท วลี for his position มาขยายตามหลัง 
* ข้อยกเว้น ในการใช้ Adjecive บางตัวเมื่อไปขยายนาม

การใช้ Adjecive ไปขยายนามหรือประกอบนามตามแบบตั้งแต่ ข้อ 1 ถึง 4 นั้น หมายถึง Adjecive ทั่วไปเท่านั้น แต่ถ้าเป็น Adjective ที่จะกล่าวต่อไปนี้แล้วให้มีวิธีใช้ขยายนามหรือประกอบนาม ได้เพียงข้อใดข้อหนึ่งเท่านั้น คือ ประกอบหน้านาม หรือเรียงหลังกริยา จะใช้ทั้ง 2 อย่างไม่ได้ นั้นคือ

Adjective - Equivalent  คือ "คำที่ใช้เสมือนเป็นคุณศัพท์" ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า คำที่จะนำมาใช้เสมือนหนึ่งเป็นคุณศัพท์ที่จะกล่าวต่อไปนี้   
  
1. คำนาม (Noun) นำมาใช้เป็น Adjective ขยายนามด้วยกันได้ แต่ให้วางไว้หน้านามที่มันไปขยายนั้นทุกครั้งไป เช่น 
          - Yale University is the place for political studies.  (มหาวิทยาลัยเยลเป็นสถานที่สำหรับการศึกษาวิชาการเมือง) 
    
          ข้อสังเกต : Yale เป็นนามนำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยาย university ซึ่งเป็นนามด้วยกัน    
 
          - My younger brother wishes to study at Suan Dusit College. (น้องชายของฉันประสงค์จะเรียนที่วิทยาลัยสวนดุสิต)     
           ข้อสังเกต : Suan Dusit เป็นนาม แต่นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนาม college ได้    
 
          - They have worked in New York City for two years.(พวกเขาได้ทำงานอยู่ที่เมืองนิวยอร์คเป็นเวลา 2 ปีแล้ว)   
  
          ข้อสังเกต : New York เป็นนามนำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามที่ตามหลัง คือ City   
   
      
2. คำนามที่ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ โดยมี Apostrophe ( 's ) มาใช้ควบนั้น นำมาใช้เป็น Adjective ขยายนามได้ และให้เรียงไว้หน้านามตัวนั้นตลอดไป เช่น 
    
          - John's house was built in Denver five years ago.  (บ้านของจอห์นได้สร้างไว้ที่เดนเวอร์ เมื่อ 5 ปีมาแล้ว)     
          ข้อสังเกต : เป็นคำนามที่นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนาม house ได้ 
          - The teacher's table is larger than the students. (โต๊ะของครูมีขนาดใหญ่)     
          ข้อสังเกต : teacher's เป็นนาม นำมาใช้บยายนาม table ทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ได้     
      
3. Infinitive (กริยาสภาวมาลา ได้แก่ to + V.1) นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามหรือสรรพนามได้ แต่วางไว้หลังนามที่มันขยายเสมอ เช่น
          - He has no money to give me for buying a pen. (เขาไม่มีเงินที่จะให้ฉันซื้อปากกา)     
          ข้อสังเกต : to give เป็น Infinitive นำมาใช้เป็น Adjective ขยายนาม money ได้     
          - This book is good for you to read.  (หนังสือเล่มนี้ดีสำหรับคุณที่จะอ่าน)     
          ข้อสังเกต : to read เป็น Infinitive นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายสรรพนาม you ได้     
      
4. Participle นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามได้ และให้วางไว้หน้านามที่มันไปขยายทุกครั้ง เช่น     
          - The standing boy is afraid of the running dog.  (เด็กชายที่ยืนอยู่กลัวสุนัขที่วิ่งมา)     
          ข้อสังเกต : standing, running เป็น Participle นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามได้     
      
5. Gerund (กริยานาม คือ Verb เติม ing แล้วนำมาใช้อย่างนามซึ่งจะได้กล่าวในบทต่อไปนี้เช่นกัน) นำมาใช้เป็น Adjective ขยายนามได้และวางไว้หน้านามนั้นตลอดไป เช่น
          - Now he is waiting for you in the meeting room. (เดี๋ยวนี้เขากำลังรอคุณอยู่ที่ห้องประชุม)     
          ข้อสังเกต : meeting เป็น gerund นำมาใช้ทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนาม room     
      
6. Phrase (วลีทุกชนิด) นำมาใช้เป็น Adjective ขยายนามหรือสรรพนามได้ ส่วนตำแหน่งวางของวลีคุณศัพท์นั้นอยู่หน้านามก็มี อยู่หลังนามก็มี เช่น
          - The man in this room is our guest.  (ผู้ชายที่อยู่ในห้องนี้เป็ฯแขกของเรา)     
          ข้อสังเกต : in this room เป็นวลีมาทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์มาขยายนาม man ที่อยู่ข้างหน้า     
          - He wants to buy the corner.   (เขาต้องการซื้อบ้านที่อยู่มุมถนนนั้น)     
          ข้อสังเกต : on the corner เป็นวลีมาทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนาม house ที่อยู่ข้างหน้า     
      
7. Subordinate Clause (อนุประโยค)
 นำมาใช้เป็น Adjective ขยายนามได้ และให้วางไว้หลังนามที่ไปขยายทุกครั้ง เช่น 
          - This is the house that Jack built.   (นี้คือบ้านที่แจ๊คสร้างเอาไว้)     
          ข้อสังเกต : that Jack built เป็น Subordinate Clause มาทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนามhouseที่วางอยู่ข้างหน้า  
          - I know Mr. Clinton whom you want to see. (ฉันรู้จัก มิสเตอร์คลินตัน ผู้ซึ่งคุณต้องการพบ)     
          ข้อสังเกต : whom you want to see เป็น Subordinate Clause (ประเภทคุณานุประโยค) มาทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนาม
          Mr.Clinton ซึ่งวางอยู่ข้างหน้า

ขอขอบคุณ : http://www.adecco.co.th/jobs/adecco-leisure-article-detail.aspx?id=32&c=2